กล้วยไม้ฟาแลนน๊อบซีส(Phalaenopsis )

Group:

ชื่อวิทยาศาสตร์ Phalaenopsis Princess Chulabhorn
วงศ์: Orchidaceae
ประเภท: กล้วยไม้อิงอาศัย

ลักษณะทั่วไป

ใบ: รูปขอบขนานแกมรูปไข่กลับ ออกเรียงสลับสองข้าง ปลายใบแหลมหรือมน แผ่นใบอวบน้ำ สีเขียวเข้ม
ดอก: ช่อดอกออกที่ซอกใบใกลป้ ลายยอด แต่ละช่อมี 10 – 20 ดอก ดอกกลม เส้นผ่านศูนย์กลาง 7 -9 เซนติเมตร สีขาวอมชมพู กลางดอกมีสีชมพูเรื่อ กลีบปากสีเหลืองปลายเว้าเป็นสองแฉกคล้ายตัว W ในภาษาอังกฤษ มีแต้มสีน้ำตาลแดง ออกดอกตลอดปี
วัสดุปลูก: ชนิดที่ระบายน้ำและเก็บความชื้นได้ดี
แสงแดด: รำไร
ขยายพันธุ์: แยกตะเกียงและเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ

การใช้งานและอื่นๆ

     กล้วยไม้สกุลฟาแลนนอปซิส (Phalaenopsis) มีประมาณ 60 ชนิด ชื่อดั้งเดิมมาจากภาษากรีกคำว่า ฟาไลนา
(phalaina) หมายถึง "ผีเสื้อกลางคืน" และคำว่า ออปซิส (opsis) หมายถึง "เหมือน" ด้วยลักษณะดอกที่เหมือน
ผีเสื้อกลางคืน ดังนั้นบางครั้งกล้วยไม้สกุลนี้จึงถูกเรียกว่า กล้วยไม้ผีเสื้อกลางคืน (Moth orchids)
  ฟาแลนนอปซิสเป็นกล้วยไม้ที่เจริญเติบโตขึ้นทางยอด (Monopodial) ลำต้นสั้น แต่ก้านยาว ใบกว้าง
ค่อนข้างรี หนา และอวบน้ำ รากค่อนข้างใหญ่ ช่อดอกยาว ปกติจะมีใบติดอยู่กับลำต้น 5-6 ใบ ยิ่งถ้าต้น
สมบูรณ์ก็อาจมีใบมากกว่านี้ ดอกบานทนนาน 2-3 สัปดาห์ หรืออาจเป็นเดือน  ในประเทศไทยพบฟาแลนนอปซิสในธรรมชาติ ได้แก่ เขากวางอ่อน (Phalaenopsis cornucervi),
ผีเสื้อชมพู (Phalaenopsis lowii), ผีเสื้อน้อย (Phalaenopsis parishii) และตากาฉ่อ (Phalaenopsis deliciosa
หรือ Phalaenopsis decumbens) //goo.gl/6uaPrD

     กล้วยไม้ฟาแลนนอปซิสมีแหล่งกำเนิดในแถบร้อนของทวีปเอเซีย ตะวันตกของทวีปอัฟริกา และตอนใต้
ของออสเตรเลีย เป็นกล้วยไม้ที่ถูกปรับปรุงพันธุ์สำหรับการผลิตเป็นกล้วยไม้กระถาง มีบ้างส่วนน้อยที่นำไปปลูก
เพื่อการตัดดอก จากคุณสมบัติที่โดดเด่นหลายประการ โดยเฉพาะอายุการใช้งานที่ทนทานกว่า 1 เดือน
บางครั้งหากมีการดูแลรักษาที่ถูกต้องอาจใช้งานได้นานถึง 2-3 เดือน ทำให้เป็นที่นิยมนำไปใช้ในการจัด
ประดับสถานที่ต่าง ๆ นอกจากนี้ยังมีความงามของดอกที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว

     การจัดเรียงตัวของดอกเป็นระเบียบ 2 แถวและบานไล่ที่ละดอก ดอกมีขนาดใหญ่ สีสันหลากสีสวยงาม
ทั้งฟอร์มดอกและสีสันอันมหัศจรรย์ มีก้านช่อดอกที่ยาว ตรง ส่งช่อดอกให้ดูเด่นและสง่างาม ปลายช่อดอกโค้ง
อ่อนช้อย มีลำต้นสั้น มีใบเพียง 2–4 คู่ ใบหนาเป็นมัน แผ่นใบกว้าง เมื่อนำไปจัดประดับจึงทำได้ง่ายไม่สิ้นเปลืองเนื้อที่
และไม่จำเป็นต้องมีวัสดุอื่น ๆ เสริมแต่ง ในการจัดประดับก็เพียงวางในที่ที่ได้รับแสงจากหลอดไฟฟ้าอย่างน้อยวันละ
6 ชั่วโมงก็เพียงพอต่อการเจริญเติบโตของกล้วยไม้ฟาแลนนอปซิส

      ควรเลี้ยงในที่ที่ได้แสงแดดรำไร หรือ โรงเรือนพรางแสงประมาณ 50-70% อย่านำไปตากแดด เพราะอาจตาย
หรือใบไหม้เหี่ยวแห้ง ควรทำความสะอาดต้นและใบด้วยการใช้น้ำละอองฝอยฉีดให้ทั่วต้นเพื่อล้างฝุ่นละออง เติมวัสดุปลูก
ลงในกระถางหากวัสดุปลูกยุบตัว ตัดก้านช่อดอกทิ้ง ควรตัดให้เหลือความยาวก้านจากโคนต้นประมาณ 2 นิ้ว แต่งใบที่
เหี่ยวแห้งออก ปรับสภาพต้นให้ตั้งตรง ให้ปุ๋ยละลายช้า 1 ช้อนชาต่อต้น โรยรอบ ๆ โคนต้น อย่าให้เม็ดปุ๋ยสัมผัส
กับผิวต้นกล้วยไม้ เพราะอาจเกิดรอยไหม้ได้ ควรให้ปุ๋ยละลายช้าทุก ๆ 3 เดือน หากมีการดูแลรักษาที่ดี
ต้นกล้วยไม้ฟาแลนนอปซิสก็จะสามารถแทงช่อดอกใหม่ได้

วัสดุปลูกกล้วยไม้ฟาแลนนอปซิส

1. ถ่านไม้ เหมาะกับสภาพพื้นที่ที่มีความชื้นสูง มีความทนทาน แต่เก็บความชื้นได้น้อย ต้องมีการให้น้ำบ่อย

2. กาบมะพร้าว อาจเป็นมะพร้าวสับขนาดต่าง ๆ ขึ้นอยู่กับขนาดต้น กาบมะพร้าวเป็นวัสดุปลูกที่หาง่ายในประเทศ
ราคาถูก เก็บความชื้นได้ดี เหมาะสมกับพื้นที่ที่มีความชื้นต่ำ แต่มีข้อเสียคือ ย่อยสลายตัวเร็ว ต้องเปลี่ยนวัสดุปลูกบ่อย ๆ

3. Sphagnum Moss เป็นวัสดุปลูกที่ดีที่สุดสำหรับกล้วยไม้ชนิดนี้ แต่ต้องนำเข้าจากต่างประเทศ

 การดูแลรักษากล้วยไม้ฟาแลนนอปซิส
     1. แสง กล้วยไม้ฟาแลนนอปซิสต้องการแสงแดดรำไร หากได้รับแสงมากเกินไป ใบจะเกิดรอยไหม้ เนื้อเยื่อส่วนที่ถูกแสงจะตายและเน่า ปริมาณแสงที่เหมาะสำหรับการเจริญเติบโตของกล้วยไม้ฟาแลนนอปซิส อยู่ในช่วง 10,000 – 20,000 Lux  ต้นที่มีอายุมากหรือต้นขนาดใหญ่จะทนแสงได้มากกว่าต้นที่มีอายุน้อยหรือต้นขนาดเล็ก

     2. อุณหภูมิและความชื้น อุณหภูมิที่เหมาะสมสำหรับการเจริญเติบโตอยู่ในช่วง 23–28 องศาเซลเซียส
ส่วนในช่วงออกดอกต้องการอุณหภูมิประมาณ 18–25 องศาเซลเซียส แต่ฟาแลนสามารถทนอุณหภูมิสูงได้ถึง 35
องศาเซลเซียส และอุณหภูมิต่ำได้ถึง 10 องศาเซลเซียส โดยต้นไม่ได้รับความเสียหาย ส่วนความชื้นสัมพัทธ์
ที่เหมาะสมอยู่ที่ 60–65 เปอร์เซ็นต์

     3. การให้น้ำ ขึ้นอยู่กับชนิดของวัสดุปลูก ไม่ควรให้น้ำมากเกินไป เพราะจะทำให้ระบบรากเน่า ควรให้น้ำเมื่อเห็นว่า
วัสดุปลูกแห้ง การให้น้ำไม่ควรให้ถูกดอก หรือมีน้ำขังบริเวณยอด เพราะจะทำให้ยอดเน่าได้ เมื่อพบส่วนใดเน่าให้ตัด
ส่วนเน่าทิ้งแล้วทาปูนแดงบริเวณรอยแผล จะทำให้ลดการระบาดของโรค

      4. ปุ๋ย ควรให้ปุ๋ยทุก 10–14 วัน ในระยะต้นกล้าควรให้ปุ๋ยที่มีธาตุไนโตรเจนสูง เช่น สูตร 30-20-10 และในระยะใกล้
ออกดอกควรเปลี่ยนสูตรปุ๋ยที่มีธาตุโปแตสเซียมและฟอสฟอรัสสูง เช่น สูตร 13-27-27 เป็นต้น ปุ๋ยที่ให้ควรเป็นปุ๋ยเกล็ด
ละลายน้ำ ปัจจุบันมีปุ๋ยละลายช้า ซึ่งมีอายุการใช้นานถึง 3 เดือน ก็สามารถนำมาใช้ได้ แต่ราคาจะแพง และควรมีการ
พ่นธาตุอาหารรองและธาตุอาหารเสริมเป็นระยะ

       5. การเปลี่ยนวัสดุปลูก วัสดุปลูกที่ย่อยสลายตัวเร็ว เช่น กาบมะพร้าว ควรมีการเปลี่ยนวัสดุปลูกใหม่ทุก
3–6 เดือน เพื่อป้องกันระบบรากเน่า และควรมีการเสริมวัสดุปลูกบ้างเมื่อวัสดุปลูกยุบตัว การเปลี่ยนวัสดุปลูก
มักนิยมทำเมื่อมีการเปลี่ยนกระถาง
        6. การป้องกันโรคและแมลง ควรมีการพ่นยาป้องกันกำจัดโรคและแมลงเป็นระยะ โดยเฉพาะในช่วงฤดูฝน
จะมีการระบาดของโรคได้ง่าย

เครื่องปลูกฟาแลนนอปซิส
        โดยส่วนใหญ่ที่ทำเป็นการค้า จะใช้สแฟกนั่มมอส (sphagnum moss) เพราะสามารถควบคุมความชื้นได้ง่าย
ถ้าปลูกเพื่อดูเล่นอาจเกาะขอนไม้หรือจะปลูกลงกระถาง กระเช้าไม้ เครื่องปลูกอาจใช้ถ่านไม้ทุบเป็นก้อนเล็ก ๆ
แช่น้ำก่อนสัก 2-3 วัน ถ่านไม้ระบายน้ำได้ดี และไม่เปื่อยหรือผุง่าย

       การปลูกควรตั้งต้นกล้วยไม้ตรงกลางให้โคนต้นส่วนเหนือรากอยู่ต่ำกว่าระดับขอบ ภาชนะปลูกเล็กน้อย
การวางต้นกล้วยไม้สูงเกินไปจะทำให้รากกล้วยไม้ได้รับความชื้นไม่เพียงพอ การใส่เครื่องปลูกควรใส่แค่กลบราก
เท่านั้น อย่าใส่เครื่องปลูกมากเกินไป ควรปลูกก่อนเข้าฤดูฝนคือประมาณเดือนมีนาคม ถ้าปลูกในฤดูฝน อากาศมี
ความชื้นสูงและกล้วยไม้กำลังอวบน้ำ อาจทำให้ใบและยอดเน่าได้ 


  เทคนิคการทำให้ฟาแลนนอปซิสออกดอกตลอดปี

        ดอกฟาแลนนอปซิสจะบานจากด้านล่างขึ้นด้านบน ให้หมายตาดอกแรกที่บานไว้ หลังจากดอกบานหมดทั้งกิ่ง
เมื่อดอกโรยหมดแล้ว ให้ตัดกิ่งทิ้ง โดยตัดใต้ดอกที่บานดอกแรก แต่ให้เหนือตาของกิ่งไว้ เพื่อจะได้แตกตา
และออกดอกรุ่นใหม่ต่อไปเรื่อย ๆ

         กล้วยไม้ฟาแลนนอปซิสมีความพิเศษคือรากอากาศจะดูดคาร์บอนไดออกไซด์และคายออกซิเจนในตอนกลางคืน
ส่วนกลางวันสลับกัน คือดูดออกซิเจนแต่คายคาร์บอนไดออกไซด์ นอกจากนี้ยังมีความสามารถในการดูด
สารพิษจำพวก แอลกอฮอล์ อาซีโตน คลอโรฟอร์ม และฟอร์มัลดิไฮด์ได้ดีอีกด้วย

         ฟาแลนเป็นไม้ที่เวลาดอกโรยแล้วจะเหลือก้านดอกเอาไว้ ถ้าไม่ตัดก้านดอกทิ้งดอกที่ออกครั้งต่อไป
 อาจจะแทงดอกขึ้นมาจากก้านเดิม ซึ่งจะให้จำนวนดอกที่ค่อนข้างน้อยกว่าที่ควร เพราะฉะนั้น เวลาดอกโรยแล้ว
อย่าลืมตัดก้านดอกทิ้งซะด้วย เพื่อให้กล้วยไม้แทงช่อดอกขึ้นมาใหม่และให้จำนวนดอกที่มากกว่า



74 กล้วยไม้ฟาแลนน๊อบซีส(Phalaenopsis )